บทที่ 2

บทที่ 2 

การเขยีนโปรแกรมด้วย Visual basic 

  แนะนำภาษา Visual Basic

นี่เป็นบทแรกของการเรียนภาษา Visual Basic ก่อนที่จะเริ่มต้นกับการเขียนโปรแกรม เราจะแนะนำให้คุณรู้จักภาษา Visual Basic และประวัติความเป็นมาของภาษาก่อน และเราจะอธิบายพื้นฐานการทำงานของภาษา และแนะนำเครื่องมือในการพัฒนาโปรแกรม

ภาษา Visual Basic

Visual Basic เป็นภาษารุ่นที่สามในการเขียนโปรแกรมแบบ event-driven programming (การเขียนโปรแกรมที่ขึ้นกับเหตุการณ์) ซึ่งมาพร้อมกับเครื่องมือพัฒนาจาก Microsoft เปิดตัวครั้งแรกในปี 1991 และได้รับการพัฒนาให้ดีมากขึ้นจนถึงปี 2008 โดย ภาษา Visual Basic นั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้และง่ายต่อการใช้งาน
ภาษา Visual Basic นั้นถูกพัฒนามาจากภาษา Basic ภาษาเขียนโปรแกรมที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้เริ่มต้น ซึ่งสนับสนุนการพัฒนาโปรแกรมแบบ rapid application development (RAD) และ graphical user interface (GUI) การเข้าถึงฐานข้อมูล และอื่นๆ ที่ทำงานภายใต้ .NET Framework เวอร์ชันล่าสุดของ Visual Basic นั้นสนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุอย่างเต็มรูปแบบ
นี่เป็นโลโก้ของภาษา Visual Basic ที่ออกแบบโดย Microsoft


.NET Framework

.NET Framework คือกรอบในการพัฒนาซอร์ฟแวร์ (software framework) ที่พัฒนาโดย Microsoft ที่มีการทำงานหลักบน Windows มันประกอบไปด้วยไลบรารี่ของคลาสต่างๆ เป็นจำนวนมาก ที่เรียกว่า Framework Class Library (FCL) และมีตัวแปรภาษาสำหรับการเขียนโปรแกรมในภาษาต่างๆ
โปรแกรมที่เขียนโดย .NET framwork ทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมของซอร์ฟแวร์ที่เรียกว่า Common Language Runtime (CLR) และ application virtual machine ที่ทำหน้าที่ให้บริการเซอร์วิสต่าๆง เช่น ความปลอดภัย การจัดการหน่วยความจำ การจัดการกับข้อผิดพลาด ทั้ง FCL และ CLR เป็นองค์ประกอบของ .NET Framework

รูปภาพแสดงองค์ประกอบของ .NET framework

Visual Basic คอมไพเลอร์

คอมพิวเตอร์เข้าใจแค่ภาษาเครื่อง ภาษาที่ประกอบไปด้วย 1 และ 0 (ในเลขฐานสอง) ในการเขียนโปรแกรม เราจะเขียนในภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่มนุษย์สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย เช่น ภาษา Visual Basic ก็เป็นภาษาระดับสูง แล้ว Common Language Runtime (CLR) จะแปลงโปรแกรมที่เราเขียนไปเป็นภาษาเครื่องสำหรับรันในแต่ละแพลตฟอร์ม

Integrated Development Environment

ในการพัฒนาโปรแกรมภาษา Visual Basic เราจะใช้เครื่องมือพัฒนาจาก Microsoft หรือเรียกว่า Integrated Development Environment (IDE) ซึ่งในปัจจุบัน เป็นโปรแกรม Visual Studio ที่มาพร้อมกับความสามารถต่างๆ ที่เป็นทั้ง Text editor คอมไพเลอร์ และ Debugger และยังมีคลาสไลบรารี่ต่างๆ ของ .NET framework และเอกสารอ้างอิงการใช้งานครบครัน
คุณสามารถ ดาวน์โหลด Visual Studio เวอร์ชันล่าสุดได้ผ่านเว็บไซต์ ทั้งแบบออนไลน์และ standard loan และติดตั้งลงบนเครื่องเพื่อเริ่มเขียนโปรแกรมภาษา Visual Basic


สร้างโปรเจ็ค Visual Basic

หลังจากที่คุณติดตั้ง Visual Studio แล้ว ต่อไปเราจะมาสร้างโปรเจ็คสำหรับการเขียนโปรแกรมภาษา Visual Basic ในบทเรียนนี้การเขียนโปรแกรมจะเป็นแบบ Console Application นี่เป็นขั้นตอนการสร้างโปรเจ็คใน Visual Studio
  1. เปิดโปรแกรม Visual Basic ขึ้นมาแล้วไปที่ File -> New -> Project... หรือ Ctrl+Shift+N ซึ่งจะมีหน้าต่าง New project ขึ้นมา
  2. ใน Template คลิกเลือกภาษาเป็น Visual Basic และเลือก Console Applicationหลังจากนั้นตั้งชื่อและเลือกที่อยู่ของโปรเจ็คและคลิก OK

รูปวิธีการสร้างโปรเจ็ค Console Application สำหรับ Visual Basic

หลังจากที่สร้างโปรเจ็คแล้วในหน้าต่างๆ Solution Explorer คือหน้าต่างในการทำงานของเรา นามสกุลไฟล์ของภาษา Visual Basic คือ .vb ที่จะใช้สำหรับในการเขียนโปรแกรม
ในบทนี้ เราอธิบายพื้นฐานและแนวคิดการทำงานของภาษากับ .Net framework และได้สร้างโปรเจ็คสำหรับเขียนโปรแกรมภาษา Visual Basic ด้วยโปรแกรม Visual Studio ในบทต่อไปคุณจะได้เห็นตัวอย่างและรูปแบบของภาษา Visual Basic

ส่วนประกอบของโปรแกรม visual basic net 



1. Start Page เป็นหน้าต่างที่แสดงขึ้นมาตลอด ตอนที่เราเปิดโปรแกรมขึ้นมา หน้าต่างนี้จะเป็นเหมือน Intro ของโปรแกรม จะประกอบด้วย
  • New Project ไว้สร้างโปเจคใหม่ในการเขียนโปแกรม
  • Open Project เปิดโปรเจค ที่เราบันทึกเอาไว้ กลับมาแก้ไขใหม่ได้
  • Recent Project จะแสดงรายชื่อโปรเจคที่เคยเปิดมาล่าสุด จำนวนหนึ่ง สามารถทำให้เราเปิดโปรเจคได้รวดเร็ว
2. ใน หน้าต่างที่ 2 นี้ จะมี Solution Explorer และ Properties

Solution Explorer หน้าต่างแสดงโปเจคของเราว่ามีอะไรบ้าง คือ My Family ประกอบด้วยไอเท็มที่ราสร้างขึ้นมา

  • Properties หน้าต่าง Properties นี้ จะแสดงคุณสมบัติของ Object ที่เราเลือกไว้ แก้คุณสมบัติต่างๆของ Object นั้น


3. ToolBox เป็นหน้าต่างที่รวมเครื่องมือต่างๆไว้สร้างApplication ของเรา ไว้ออกแบบหน้าจอได้อย่างง่ายๆ โดยเพียงคลิกลาก คอนโทรล ( Control ) มาวางบน ฟอร์ม (Form ) ก็จะได้  ออบเจ็ค (Object) บนฟอร์มนั้น ซึ่ง มีอยู่หลายกลุ่มคอนโทรลด้วยกัน จะแนะนำอันที่จำเป็นๆน่ะคับ


  • Common Control คอนโทรลพื้นฐานต่างๆ เช่น CheckBox, Label, ListBoxฯลฯ
  • Containers คอนโทรลที่ไว้จัดกลุ่มให้กลับคอนโทรลอื่นๆ โดยบรรจุคอนโทรลนั้นไว้ภายในตัวเดียวกัน เช่น GroupBox , Panel ฯลฯ

Menus & Toolbars เป็นคอนโทรลที่ช่วยสร้าง เมนู และ ทูลบาร์

  • Data คอนโทรลที่ไว้ใช้งานกับฐานข้อมูล


  • Components  เป็นคอนโทรลที่ไม่แสดงรูปร่างออกมาทางฟอร์ม แต่จัดเตรียมทำงานให้กับโปรแกรม เช่น Timmer, Process ฯลฯ

  • Pointing คอนโทรลที่เกี่ยวกับการพิมพ์เอกสารออกทาง Printer

  • Dialogs คอนโทรลที่ใช้แสดงไดอะบล็อกซ์พื้นฐานชนิดต่างๆ เช่น ไดอะบล็อกซ์สำหรับเปิดไฟล์ และไดอะบล็อกซ์สำหรับเลือกสี เป็นต้น
4. ทูลบาร์หลัก (Standard Toolbar)



เป็นแถบเครื่องมือที่รวบรวมปุ่มต่างๆเอาไว้ ซึ่งปุ่มเหล่านี้จะเรียกใช้คำสั่งที่ใช้บ่อย เพื่อความสะดวกในการทำงาน เช่น ปุ่มแรกจะเทียบเท่ากับการสร้างโปรเจ็คใหม่ (New Project) ในเมนูไฟล์ เป็นต้น

5. เมนูบาร์ (Menu Bar)


เป็นส่วนที่รวบรวมคำสั่งทุกอย่างในการทำงานของ Visual Studio โดยแบ่งเป็นเมนูคำสั่งตามไอเท็มต่างๆ ดังนี้
  • File คำสั่งที่ใช้สร้างโปรเจ็คใหม่ เปิดโปรเจ็ค ปิดโปรเจ็ค เป็นต้น
  • Edit คำสั่งที่ใช้แก้ไข ตัด คัดลอก วาง ย้อนกลับ เป็นต้น
  • View คำสั่งที่ใช้แสดงเครื่องมือต่างๆของ Visual Studio
  • Properties คำสั่งที่ใช้จัดการเกี่ยวกับโปรเจค แก้ไขคุณสมบัติต่างๆของ ออบเจ็ค
  • Build คำสั่งที่ใช้คอมไพล์โปรเจค เป็นไฟล์ *.EXE
  • Debug คำสั่งที่ช่วยในการรันและตรวจสอบหาข้อผิดพลาดของโปรแกรม
  • Data คำสั่งที่ใช้ติดต่อกับฐานข้อมูล
  • Format คำสั่งที่ใช้จัดตำแหน่งของออบเจ็ค
  • Tool คำสั่งที่ใช้เรียกเครื่องมือส่วนเสริม

นี้ก็เป็นคอนโทรลที่ใช้กันส่วนมากซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับในการเขียนโปรแกรมที่ทุกโปรแกรมจำเป็นต้องมี และสามารถนำไปประยุกต์ในการใช้ร่วมกันของคอนโทรลตามจินตนาการของนักพัฒนาโปรแกรม...


การประมวลผลข้อมูล (Data Processing)

การประมวลผลข้อมูล (Data Processing)
          การประมวลผลข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้มาผ่านกระบวนการต่างๆ เพื่อแปรสภาพข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่ต้องการเรียกว่าข้อสนเทศหรือสารสนเทศ (Information)
วิธีการประมวลผลข้อมูล     
 อาจจำแนกได้ 3 วิธีโดยจำแนกตามอุปกรณ์ที่ใช้ในการประมวลผล ได้แก่

1.การประมวลผลด้วยมือ
 (Manual Data Processing) เป็นวิธีการที่ใช้มาตั้งแต่อดีตโดยใช้อุปกรณ์ง่าย ๆ สามารถจำแนกตามอุปกรณ์ที่ใช้ได้เป็น 3 ประการ คือ
– อุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวกในการเก็บรักษา และค้นหาข้อมูล ได้แก่ บัตรแข็ง แฟ้ม ตู้เก็บเอกสาร
– อุปกรณ์ที่ช่วยในการนับและคิดคำนวณเป็นอุปกรณ์ที่ง่ายต่อการใช้ ได้แก่ ลูกคิด เครื่องคิดเลข เป็นต้น
– อุปกรณ์ที่ใช้ในการคัดลอกข้อมูล ได้แก่ กระดาษ ปากกา ดินสอ เครื่องอัดสำเนา เป็นต้น
การประมวลผลแบบนี้เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่มีข้อมูลปริมาณไม่มากนัก และการคำนวณไม่ยุ่งยากซับซ้อน

2. การประมวลผลข้อมูลด้วยเครื่องจักรกล (Mechanical Data Processing) เป็นวิวัฒนาการมาจากการประมวลผลด้วยมือ แต่ยังต้องอาศัยแรงคนบ้าง เพื่อทำงานร่วมกับเครื่องจักรกล ในการประมวลผลทางธุรกิจ เครื่องที่ใช้กันมากที่สุด คือ เครื่องทำบัญชี (Accounting Machine) และเครื่องที่ใช้ในการประมวลผลทั่วไปเป็นเครื่องกึ่งอิเล็กทรอนิกส์ เรียกว่า เครื่อง Unit Record
3. การประมวลผลข้อมูลด้วยเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ (EDP : Electronic Data Processing) หมายถึงการประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ นั้นเอง  ลักษณะงานที่เหมาะสมต่อการประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์  คือ
– งานที่มีปริมาณมาก ๆ
– ต้องการความถูกต้องรวดเร็ว
– มีขั้นตอนในการทำงานซ้ำ ๆ กัน เช่น งานบัญชี งานการเงิน งานทะเบียนประวัติและงานสถิติ เป็นต้น
– มีการคำนวณที่ยุ่งยากและสลับซับซ้อน เช่น งานวิจัยและวางแผน งานด้านวิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น
การประมวลผลข้อมูล สามารถแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นเตรียมข้อมูล (lnput) เป็นการจัดเตรียมข้อมูลที่รวบรวมมาแล้วให้อยู่ในลักษณะที่สะดวกต่อการประมวลผล แบ่งเป็นขั้นตอนย่อย ๆ ดังนี้
ก. การลงรหัส(Coding) คือ การใช้รหัสแทนข้อมูลจริง ทำให้ข้อมูลอยู่ในรูปแบบที่สะดวกแก่การประมวลผล ทำให้ประหยัดเวลาและเนื้อที่ รหัสอาจเป็นตัวเลขหรือตัวอักษรก็ได้ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับเพศ ให้รหัส 1 แทนเพศชาย รหัส 2 แทนเพศหญิง เป็นต้น
ข. การตรวจสอบแก้ไขข้อมูล (Editing) เป็นการตรวจสอบความถูกต้องและความเป็นไปได้ของข้อมูล และปรับปรุงแก้ไขเท่าที่จะทำได้หรือคัดข้อมูลที่ไม่ต้องการออกไป เช่น คำตอบบางคำตอบขัดแย้งกันก็อาจดูคำตอบจากคำถามข้ออื่น ๆ ประกอบ แล้วแก้ไขตามความเหมาะสม
ค. การแยกประเภทข้อมูล (Classifying) คือการแยกประเภทข้อมูลออกตามลักษณะงานเพื่อสะดวกในการประมวลผลต่อไป เช่น แยกตามคณะวิชา แยกตามเพศ แยกตามอายุ เป็นต้น
ง. การบันทึกข้อมูลลงสื่อ (Media) ที่เหมาะสม หมายถึง การจัดเตรียมข้อมูลให้อยู่ในสื่อ หรืออุปกรณ์ที่อยู่ในรูปที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจ และนำไปประมวลได้ เช่น บันทึกข้อมูลลงในจานแม่เหล็ก หรือเทปแม่เหล็ก เพื่อนำไปประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อไป
2. ขั้นตอนการประมวลผล (Processing) เป็นวิธีการจัดการกับข้อมูล โดยนำข้อมูลที่เตรียมไว้แล้วเข้าเครื่อง แต่ก่อนที่เครื่องจะทำงานต้องมีโปรแกรมสั่งงาน ซึ่งโปรแกรมเมอร์(Processing) เป็นผู้เขียน เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการประมวลผลจนกระทั่งได้ผลลัพธ์ออกมาและยังคงเก็บไว้ในเครื่องขั้นตอนต่าง ๆ อาจเป็นดังนี้
ก. การคำนวณ (Calculation) ได้แก่ การคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น การบวก ลบ คูณ หาร และทางตรรกศาสตร์ เช่น การเปรียบเทียบค่าต่าง ๆ
ข. การเรียงลำดับข้อมูล(Sorting) เช่น เรียงข้อมูลจากน้อยไปมาก หรือมากไปน้อยหรือเรียงตามตัวอักษร A ถึง Z เป็นต้น
ค. การดึงข้อมูลมาใช้(Retrieving) เป็นการค้นหาข้อมูลที่ต้องการเพื่อนำมาใช้งาน เช่น ต้องการทราบยอดหนี้ของลูกค้าคนหนึ่ง หรือต้องการทราบยอดขายของพนักงานคนหนึ่ง เป็นต้น
ง. การรวมข้อมูล (Merging) เป็นการนำข้อมูลตั้งแต่ 2 ชุด ขึ้นไปมารวมเป็นชุดเดียวกัน เช่น การนำเอาเงินเดือนพนักงาน รวมกับเงินค่าล่วงเวลา จะได้เป็นเงินที่ต้องจ่ายให้แก่พนักงาน
จ. การสรุป (Summarizing) เป็นการรวบรวมข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดให้อยู่ในรูปแบบสั้น ๆ กะทัดรัดตามต้องการ เช่น การสรุปรายรับรายจ่าย หรือ กำไรขาดทุน
ฉ. การสร้างข้อมูลชุดใหม่ (Reproducing) เป็นการสร้างข้อมูลชุดใหม่ขึ้นมาจากข้อมูลเดิม
ช. การปรับปรุงข้อมูล (Updating) คือ การเพิ่มข้อมูล (Add) การลบข้อมูล (Delete)  และการเปลี่ยนค่า (change) ข้อมูลที่มีอยู่ให้ทันสมัยอยู่เสมอ
3. ขั้นตอนการแสดงผลลัพธ์ (Output) เป็นงานที่ได้หลังจากผ่านการประมวลผลแล้วเป็นขั้นตอนในการแปลผลลัพธ์ที่เก็บอยู่ในเครื่อง ให้ออกมาอยู่ในรูปที่สามารถเข้าใจง่ายได้แก่ การนำเสนอในรูปแบบรายงาน เช่น แสดงผลสรุปตารางรายงานการบัญชี รายงานทางสถิติ รายงานการวิเคราะห์ต่าง ๆ หรืออาจแสดงด้วยกราฟ เช่น แผนภูมิ หรือรูปภาพสรุปขั้นตอนการประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น